ชั้นบรรยากาศ
สารและสมบัติของสาร
สมบัติของสาร หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของสารที่สามารถบ่งบอกว่าสารชนิดนั้นคืออะไร สารแต่ละชนิดจะมีสมบัติของสารที่สังเกตได้ คือ สี กลิ่น รส สถานะ เนื้อสาร ถ้าต้องการตรวจสอบว่าของเหลวใส ไม่มีสี เป็นสารละลายน้ำตาลหรือสารละลายเกลือแกง ต้องทดสอบสมบัติเฉพาะตัวคือ รส หรือทดสอบการนำไฟฟ้า
ทฎษฏีโลกกลวง
ทฤษฎีที่ฟังดูประหลาดที่สุดก็คือ ความเชื่อที่ว่า
โลกใบนี้มีเนื้อในกลวง แถมข้างใต้ผิวโลก ยังมีอารยธรรมบ้านเมือง ซุกซ่อนอยู่ด้วย เป็นเมืองลับแล ที่น้อยคนจะรู้ถึงทางเข้า คนแรกๆ ที่เสนอความคิดนี้เมื่อปี ค.ศ. 1692 ก็คือ เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ถ้าชื่อนี้รู้สึกคุ้นหูก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นคนเดียวกับนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษผู้คำนวณเวลาหวนกลับมาของดาวหางที่สุกสว่างที่สุด ดวงหนึ่งซึ่งได้ชื่อตามชื่อของเขานั่นเอง
ฮัลเลย์รู้สึกฉงนกับสนามแม่เหล็กของโลก เขาสังเกตพบว่า สนามแม่เหล็กโลกมีทิศทางเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเวลาที่ต่างกัน เขาจึงคิดว่า โลกมีสนามแม่เหล็กหลายสนาม โลกของเรานั้นกลวง ข้างในยังมีโลกอีกชั้น หนึ่งที่มีสนามแม่เหล็กอีกสนามหนึ่ง เพื่ออธิบายถึงความผันแปรทั้งหมดในสนามแม่เหล็กโลก ท้ายที่สุดเขาได้เสนอว่า โลกประกอบด้วยสัณฐานกลม 4 ชั้น แต่ละชั้นซ้อน กันอยู่ข้างใน
ฮัลเลย์เสนอด้วยว่า ภายในโลกมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โดยอาศัยแสงสว่างจากบรรยากาศที่เรืองแสง เขาคิดว่า ปรากฏการณ์แสง เหนือก็คือก๊าซที่เล็ดลอดออกมาจากใต้เปลือกโลกบางๆ ที่ขั้วโลกเหนือ คนอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อของฮัลเลย์มักเอาทฤษฎีนี้ ไปต่อเติมเสริมแต่งตามความเชื่อของตัวเอง
ในศตวรรษที่ 18 เลยองฮาร์ด ยูเลอร์ นักคณิตศาสตร์ชาวสวิส ได้แทนที่ทฤษฎีโลกหลายชั้นด้วยโลกที่กลวงเพียงชั้นเดียว ข้างในมีดวง อาทิตย์ขนาดกว้าง 600 ไมล์ คอยให้ความร้อนและแสงสว่างแก่อารยธรรมที่ เจริญก้าวหน้าที่อาศัยอยู่ในนั้น แล้วต่อมา นักคณิตศาสตร์ชาวสกอต เซอร์ จอห์น เลสลี ก็เสนอว่า ภายในโลกมีตะวันอยู่สองดวง ซึ่งเขาตั้งชื่อให้ว่า พลูโต กับโพรเซอร์ไพน์
คนที่สนับสนุนทฤษฎีโลกกลวงอย่างหัวชนฝา คือ จอห์น ซิมเมส ชาวอเมริกัน อดีตนายทหารและนักธุรกิจ ซิมเมสเชื่อว่าโลกกลวง และก็ที่ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้มีทาง เข้าขนาดกว้าง 4,000 ไมล์และ 6,000 ไมล์ ตามลำดับ ซึ่งจะนำเข้าสู่โลกบาดาลได้ เขาอุทิศชีวิตพัฒนาทฤษฎีของตัวเอง และระดมเงินสนับสนุน ให้มีคณะสำรวจเดินทางไปยังขั้วโลกเหนือ เพื่อเข้าไปสำรวจภายในโลก ถึงเขาจะทำไม่สำเร็จ แต่หลังจากเขาตายไป ลูกศิษย์ของเขา ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ชื่อ เยเรมีย์ เรย์โนลด์ ได้ช่วยกระตุ้นให้ รัฐบาลสหรัฐส่งคณะสำรวจไปยังดินแดนแอนตาร์กติกาในปี 1838ขณะที่นักสำรวจไม่พบช่องทางเข้าอะไรที่ว่านั้น คณะสำรวจได้พบหลักฐานที่ว่า แอนตาร์กติกา ไม่ได้เป็นแค่ผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเท่านั้น แต่นับเป็นทวีปที่เจ็ดของโลก
ในปี 1846 มาร์แชล การ์ดเนอร์ ได้อ้างการค้นพบซากแมมมอธขนยาวที่แช่แข็งอยู่ในน้ำแข็งที่ไซบีเรียเป็นหลักฐานยืนยันว่าโลกกลวง การ์ดเนอร์เชื่อว่า ข้างในโลกมีดวงอาทิตย์หนึ่งดวง และเสนอว่า เหตุที่ซากแมมมอธยังมีสภาพดี ก็เพราะมันเพิ่งตายเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยว่าแมมมอธ และสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วชนิดอื่นๆ สามารถตระเวนเข้าออก ส่วนในของโลกได้อย่างอิสระ ซึ่งเจ้าตัวนี้ได้เดินออกมาข้างนอกโดยอาศัยช่อง ทางที่ขั้วโลกเหนือ แล้วภายหลังซากของมันได้ถูกน้ำแข็งซัดมาจนถึงไซบีเรีย
ในทศวรรษเดียวกันนั้นเอง ทฤษฎีโลกกลวงอีกทฤษฎีหนึ่งได้อุบัติขึ้น เป็นผลงานจากความคิดของ ไซรัส รีด ทีด โดยทีดบอกว่า โลกกลวง ข้างในมีคนอาศัยอยู่ และมีดวงอาทิตย์อยู่ ตรงใจกลางโลก ดวงอาทิตย์นี้ด้านหนึ่งมืด ด้านหนึ่งสว่าง เมื่อดวงอาทิตย์ หมุนก็จะเกิดสภาพเหมือนกลางวันกับกลางคืนสลับกัน บรรยากาศอันหนา แน่นในใจกลางของโลกทำให้คนที่อยู่ในโลกแหงนมองไม่เห็นคนที่อยู่ทางอีก ด้านหนึ่งของโลก ต่อมาทีดได้เปลี่ยนชื่อเป็นโคเรช และก่อตั้งสิ่งที่ปัจจุบันถือเป็น ลัทธิประหลาด หลังจากซื้อที่ดิน 300 เอเคอร์ในฟลอริดา โคเรชก็ประกาศตัว เองเป็นพระมหาไถ่แห่งศาสนาใหม่ เขาตายเมื่อปี 1908 โดยไม่ได้พิสูจน์ ทฤษฎีของตัวเอง
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการเอาเรื่องโลกกลวงไปโยงเข้า กับพวกนาซีเยอรมัน นักเขียนคนหนึ่ง เอิร์น ซันเดล ได้เขียนหนังสือเรื่อง “ยูเอฟโอ-อาวุธลับของนาซี?” อ้างว่า ฮิตเลอร์กับกองกำลังชุดสุดท้ายของเขา ได้โดยสารเรือดำน้ำตอนสงครามเลิกหลบหนีไปยังอาร์เจนตินา แล้วต่อมาได้ ตั้งฐานทัพของจานบินขึ้นตรงช่องทางที่นำเข้าไปสู่ภายในโลกที่ขั้วโลกใต้ ซันเดลบอกด้วยว่า พวกนาซีเป็นเผ่าพันธุ์ที่แยกต่างหากจาก มนุษย์ พวกนี้มาจากข้างในโลก ยิ่งเวลาผ่านไป ไอเดียเรื่องโลกกลวงก็ยิ่งกลายเป็นทฤษฎีเพี้ยน และกลายเป็นเรื่องของนิยายวิทยาศาสตร์และจินตนาการเพ้อฝันไป เหตุก็เพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความถูกต้องของทฤษฎีนี้
นายพลเรือเอกของสหรัฐ ริชาร์ด ไบร์ด ได้บินข้ามขั้วโลก เหนือเมื่อปี 1926 และขั้วโลกใต้เมื่อปี 1929 โดยไม่พบช่องทางเข้าสู่ภายใน โลกเลย ภาพถ่ายจากนักบินอวกาศก็ไม่ปรากฏทางเข้าเช่นกัน ในขณะที่วิชา ธรณีวิทยาสมัยใหม่ชี้ว่า โลกมีเนื้อในส่วนใหญ่เป็นของแข็ง แต่กระนั้น มีภาพถ่ายของนาซาชิ้นหนึ่งที่ปรากฏรอยมืดใน ภาพ ซึ่งคนที่เชื่อเรื่องโลกกลวงบอกว่าเป็นข้อพิสูจน์ทฤษฎีนี้ ทั้งที่อันที่จริง แล้ว ภาพนั้นเกิดจากการเอาภาพถ่ายหลายๆ ใบที่ถ่ายในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงมาซ้อนกัน เพื่อให้มองเห็นทุกส่วนเป็นเวลากลางวัน ส่วนตรงที่เป็นสี ดำมืดนั้นเป็นเขตอาร์กติกที่ไม่สะท้อนแสงในตอนกลางวันของฤดูหนาว
หนังสือที่เผยแพร่ความคิดเรื่องโลกกลวงที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด นั้นเห็นจะเป็น “การเดินทางสู่ใจกลางโลก” (Journey to the Center of the Earth) ของ จูลส์ เวิร์น หนังสือเล่มนี้เสนอทฤษฎีโลกกลวงได้น่าฟังกว่า ด้วยการพูดถึงช่องทางจากผิวโลกเข้าไปสู่โพรงถ้ำใต้ดินที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในนิยายเล่มนี้ นักวิทยาศาสตร์สามคนได้ปีนลงไปในปล่อง ภูเขาไฟที่หมดพลังแล้ว เพื่อค้นหาหนทางที่จะเข้าสู่ใจกลางโลก พวกเขาทำ ไม่สำเร็จ แต่ก็ได้พบทะเลใต้ดินที่มีสัตว์ยุคก่อนประวัติศาสตร์อาศัยอยู่มากมาย รวมทั้งตัวเพลซิโอซอร์ด้วย
บางคนเชื่อว่า ลึกลงไปใต้โลก คือบ้านของเผ่าพันธุ์ประหลาด ที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า แต่คนพวกนี้เป็นใคร และทางเข้าสู่เมืองบาดาลของ พวกเขาอยู่ตรงไหน และทำไมถึงเข้าไปอยู่ใต้พื้นโลก ความคิดที่ว่าโลกกลวงนี้มีรากเหง้ามาจากตำนานโบร่ำโบราณ ของหลายวัฒนธรรม มักเล่าขานต่อๆ กันมาถึงชนกลุ่มหนึ่งที่มีอารยธรรมของตัวเอง อาศัยอยู่ในนครลี้ลับใต้พื้นพสุธา คนพวกนี้มีเทคโนโลยีหรือฤทธิ์เดชสูง กว่าพวกเราบนพื้นผิวโลก บางคนถึงกับบอกว่า จานผีไม่ได้มาจากนอกโลก หากแต่เกิด จากการประดิษฐ์คิดค้นของคนที่อยู่ภายในโลกต่างหาก
หากย้อนเวลานั่งไทม์แมชชีนกลับไป ในช่วงเวลาประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เราคงได้เห็นการใช้ชีวิต ที่อยู่ภายใต้แนวคิดที่เชื่อว่าโลกของเราแบน หากเดินทางไปจนสุดขอบโลก มนุษย์จะต้องตกลงไป ดังเรือเดินสมุทรมากมายที่เมื่อเดินทางออกไปในระยะทางไกลที่ต้องหลับหายไปจาก ขอบฟ้า ซึ่งแนวคิดนี้ได้สืบทอดมาอย่างยาวนานด้วยหลากหลายเงื่อนไข
จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจที่กบฏต่อความคิดของคนส่วนใหญ่ในขณะนั้น ต่าง ได้พยายามพิสูจน์ว่าโลกหาไม่ได้แบนเป็นแผ่น ขนมเปี๊ยะ แต่มีรูปร่างกลมและสามารถเดินทางเวียนรอบโลกได้หากเก่งกล้าพอ และคนที่กล้าพอ ก็เกิดขึ้น จากหนึ่งคนเป็นสอง จนสุดท้ายคนทั้งโลกก็ต้องยอมรับว่าโลกของเรา “กลม”
แต่หากผมจะบอกว่า โลกของเรามิได้กลมเป็นลูกมะนาว แต่โลกของเรานั้นเหมือนลูกมะพร้าวที่ข้างในมีช่องว่างซึ่งสิ่งมีชีวิตสามารถเข้าไปอยู่ได้ คุณจะเชื่อหรือไม่...ถึงคุณจะไม่เชื่อ แต่ว่าแนวคิดนี้มีอยู่จริง...
ใครบอกว่าโลกแบน ใครบอกว่าโลกตัน
“Our Earth is hollow” พูดเป็นภาษาฝรั่งแบบน้ำเสียงตกใจได้ว่า โลกของเรานี่หรือมันกลวง ความเชื่อ นี้ไม่ใช่เป็นเพียงนิทานปรัมปรา เรื่องเล่า หรือเรื่องเพ้อฝัน เพราะความเชื่อเรื่อง โลกกลวง หรือ Earth hollow หรือSubterranean World คือแนวคิดที่เป็นทฤษฎีมานานหลายศตวรรษแล้ว โดยแผ่ความเชื่อและความลึกลับไปในหลายภูมิภาค ไม่เว้นความเชื่อในประเทศไทยเองก็เคยมีเรื่องราวของมนุษย์ลึกลับที่อยู่ในถ้ำใต้ดินหรือดินแดนลับแลต่าง ๆ
ความเชื่อว่าโลกกลวงนั้นคือ ความเชื่อของกลุ่มคนที่เชื่อว่าลึกลงไปใต้เปลือกโลกจะมีโพรง หรือช่องขนาดใหญ่ซึ่งมีดินแดนที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โดยบ้างเชื่อว่าเป็นโลกซ้อนโลกและมีดวงอาทิตย์อยู่ภายใน
โดยความเชื่อที่ถือกันว่ามีการเผยแพร่ความเชื่อ และทฤษฎีในทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกคือในปี 1692 โดยนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงด้านดาราศาสตร์ชื่อว่า เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ (Edmund Halley)
ฮัลเลย์กับทฤษฎีโลกกลวง
ฮัลเลย์ เป็นคนแรกที่เชื่ออย่างปักใจว่า โลกของเรานั้นลึกลับกว่าที่มองเห็น เขาอธิบายทฤษฎีที่ลึกลับนี้ ว่า โลกกลวง โดยอธิบายไว้ว่าโลกมีโพรงหรือพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ภายใน อัลเลย์ได้สรุปแล้วแบ่งทฤษฎีสัณฐานของโลกเป็น 4 ชั้น ซึ่งเชื่อว่าสัณฐานของโลกมีเปลือกโลกกั้นด้วยชั้นแรกหนา 800 กิโลเมตรไมล์ หลังจากชั้นนี้ก็จะเป็นพื้นที่โล่งกลวงและชั้นต่าง ๆ แนวความคิดนี้เริ่มจากความสงสัยในขั้วแม่เหล็กโลก จึงเชื่อว่าภายใต้โพรงยักษ์นั้นประกอบด้วยขั้วแม่เหล็กหลายขั้วด้วยกัน เสมือนมีโลกอีกใบซ้อนอยู่ซึ่งหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกัน
หลักการที่เป็นแบบแผนอันน่าประหลาดในแบบของฮัลเลย์ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยการคาดเดาของเขา โดยเชื่อว่ากลุ่มก๊าซที่พุ่งในปรากฏการณ์ Aurora Borealis หรือ แสงเหนือแสงใต้ ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ คือสิ่งที่เกิดมาจากโลกซ้อนโลกที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พื้นพิภพนั่นเอง
พระอาทิตย์มีสองดวง
ดา แคมป์ และ เลย์ สองนักสำรวจที่มีบทบาทมากกลุ่มแรกที่เสนอทฤษฎีโลกกลวง โดยพวกเขาได้เสนอต่อเซอร์ จอห์น เลสซี นักคณิตศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ว่าโครงสร้างของโลกกลวงนั้นภายในจะมีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มีชื่อว่า พลูโตและโปรเซ็ปไพน์ ซึ่งการเสนอในครั้งนี้ทำให้ จอห์น เลสซี ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในทฤษฎีโลกกลวงคนแรก ๆ ในช่วงศตวรรษที่ 18
ปี 1818 จอห์น เคลเวส ซิมเมส จูเนียร์ (Cleves Symmes Jr.) เชื่อว่าโลกกลวงจะอยู่ภายใต้พื้นดินที่ความลึก 1,300 กิโลเมตร โดยมีช่องทางเขากว้างถึง 2,300 กิโลเมตร ที่บริเวณขั้วโลกทั้ง 2 ด้าน และโลกกลวงมีสัณฐาน 4 ชั้น เช่นเดียวกับที่ฮัลเลย์เคยเสนอ ซึ่งนับเป็นบุคคลที่เสนอความเชื่อในทฤษฎีโลกกลวงที่มีชื่อเสียงมากในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 18 นี้ เพราะนอกจากเสนอข้อสันนิษฐานแล้วเขายังเป็นแรกกระตุ้นให้เกิดการสำรวจช่องทางเข้า แต่ทว่าโครงการนี้ก็ถูกระงับไปโดยแอนดรูว์ แจ็กสัน (Andrew Jackson) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น และซิมเมสก็เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้เดินทางสำรวจข้อสันนิษฐานของตนเอง
ภายหลังที่ ซิมเมส ได้เสียชีวิตลง ทฤษฎีของเขาก็ไม่ได้สูญสิ้นไปด้วย เพราะมีนักเขียนได้นำมารวบรวมเป็นทฤษฎีที่ชื่อว่า Symmes' Theory ซึ่งเป็นข้อเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักสำรวจรุ่นหลังมากมาย
การเดินทางสู่โลกซ้อนโลก
หลังจากที่ยังไม่มีใครสามารถสำรวจไปถึงขั้วโลกเพื่อหาประตูสู่โลกภายในได้ เจเรไมห์ เรย์นอด์ส (Jeremiah Reynolds) ซึ่งเป็นนักข่าวผู้ติดตามความเชื่อเกี่ยวกับโลกกลวงมา ได้เขียนบทความและข้อเขียนถึงความเป็นไปได้ของทฤษฎีนี้ และด้วยความช่วยเหลือ จากรัฐบาลสหรัฐฯ เขาได้เปิดศักราชการค้นหาประตูสู่โลกกลวง โดยเดินทางสู่แอนตาร์กติกาในปี 1838 แต่ การเดินทางครั้งนี้ก็ล้มเหลวเช่นเคย เพราะทีมสำรวจไม่พบจุดที่เป็นช่องทางหรือประตูแต่อย่างใด
ปี 1846 มีการค้นพบบางสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่าโลกกลวงมีอยู่จริง โดยมีการค้นพบซากฟอสซิลช้างแมมอธ ที่มีความสมบูรณ์มากถูกแช่แข็งบริเวณไซบีเรีย โดย มาร์แชลล์ การ์ดเนอร์ (Marshall Gardner) ผู้ค้นพบซากแมมมอธเห็นด้วยกับทฤษฎีที่ว่า ภายในโลกมีพระอาทิตย์อีกดวง และเชื่อว่าช้างที่เขาค้นพบไม่ได้มาจากอดีตหรือยุคโบราณแต่อย่างใด เพราะความสมบูรณ์นี้จึงทำให้เชื่อว่ามันตายไปเมื่อไม่นานนี่เอง และเขายังเชื่ออีกว่า สัตว์ต่าง ๆ ที่ว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจากอดีตมันซ่อนตัวอยู่ในโลกกลวงนี้
ภายใต้พื้นพิภพมีผู้คนอาศัยอยู่
มีทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจและมีการกล่าวถึงอย่างมากคือ ทฤษฎีของดอกเตอร์ไซรัส รีด ทีด (Dr.Cyrus Read Teed) ทฤษฎีนี้เกิดจากคาดการณ์และสันนิษฐาน ที่เชื่อว่าภายในโลกอันกลวงนี้มีช่องว่างที่อำนวยต่อ การอาศัย มีคนอาศัยอยู่ และมีพระอาทิตย์ที่มีลักษณะแสงสว่างครึ่งลูก โดยโคจรหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดช่วงเวลากลางวัน-กลางคืน กับชั้นบรรยากาศที่ถูกปิดทับโดยพื้นผิวโลกทำให้มันถูกซุกซ่อนจากผู้คนบนโลกได้ ที่น่าทึ่งกว่านั้นแบบจำลองสัณฐานของเขาที่เขียนขึ้น ไม่มีใครสามารถคิดค้นหาแนวคิดมาหักล้างหรือพิสูจน์ได้ว่ามันไม่จริง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการกล่าวถึงอาวุธโดยนักเขียนชื่อว่า อีเนส ซูนเดล (Ernst Zundel) และการทำสงครามของลิตเลอร์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ โลกซ้อน โดยกล่าวว่าฝ่ายนาซีมีการใช้อาวุธและยานพาหนะลึกลับที่เชื่อกันว่าเชื่อมโยงกับยูเอฟโอ ซึ่งในช่วงสุดท้ายก่อนนาซีพ่ายแพ้ได้ถอยร่นมาจนถึง อาร์เจนตินา แล้วหลบหนีเพื่อตั้งฐานลับที่ใต้พื้นพิภพ โดยมีช่องทางที่ขั้วโลกใต้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น